artt.dev

มหา'ลัย ตอนที่ ๑

ดวงตะวันทอแสงสีเหลืองอำพันผ่านผืนผ้าสีฟ้าอ่อนเข้ามาตกกระทบใบหน้าของเขา “วันนี้แล้วสินะ…” เขาคิดกับตัวเอง ลมเฉื่อย ๆ เผยม่านออกเล็กน้อย ขณะที่เขาลืมตาขึ้นมองนาฬิกาซึ่งตั้งอยู่ข้างหัวเตียง เขาสายตามเคย (ไม่ทราบว่าเคยนี่เป็นตัวอะไรเหมือนกัน น่าจะคล้าย ๆ กุ้ง เห็นว่าเอามาทำกะปิได้ แต่เห็นใคร ๆ ก็ทำอะไร “ตามเคย” ทุกที สันนิษฐานได้ว่า เคย น่าจะมีพลังจิตชนิดหนึ่ง ถ้าได้เป็นนักการเมืองคงจะน่ากลัวอยู่) ใบกล้วยพัดที่ถูกปลูกอยู่นอกกำแพงต่างก็ไหวเอื่อย ๆ ไปตามกระแสลม

ค่ำวันนี้ การเดินทางมุ่งสู่ดินแดนซึ่งตั้งอยู่อีกซีกหนึ่งของโลก คงจะต้องมาตัดกับเส้นทางชีวิตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าพิลึกถ้าชีวิตของคนเราทุกเรื่องเป็นแบบนี้ ยอมรับสภาพอะไรที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ยืนหยัด ไม่ต่างอะไรกับใบกล้วยสีเขียวสวย ๆ เหล่านั้น ที่ได้แต่เอนตัวตามกระแสลม แต่เขาก็รู้ดีว่าการเดินทางในครั้งนี้จะเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่งของชีวิตเขา การเดินทางครั้งนี้เขาทราบมาล่วงหน้าด้วยเวลาเป็นเดือน ๆ แล้ว และเขาก็คิดว่าเขาพร้อมสำหรับมัน แต่ทว่า…

ฮ่า ๆ ก็นั่นแหละ ขี้เกียจเขียนภาษาแต่งหนังสือละ การเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ได้พร้อมไปทุกอย่าง (ถึงแม้จะนั่งเล่นตั้งแต่ห้าโมงเย็น เพราะคิดว่าจัดเสร็จแล้ว) ลืมนู่นลืมนี่ กว่าจะออกจากบ้านก็สองทุ่มกว่า (กะไปถึงนู่นสามทุ่ม) ฝนตก รถติด… ซักพัก เจ๊ซิมก็โทรมาบอกว่า รถตรงวิภาวดีที่จะเข้า Int’l ติดมาก เข้าทาง Domestic แล้วค่อยไปขับ ๆ ในดอนเมืองจะเร็วกว่า หลังจากนั้นก็ได้คุยกับพี่แอนนี่ ซึ่งกำลังอยู่บนโทลล์เวย์…

“เอ้อ พี่แอนนี่ ญาติอาร์ตบอกว่าที่เข้าดอนเมืองตรงที่จะไปนอกประเทศติดมาก ให้เข้าในประเทศดีกว่า”

“ยังไงนะ”

“ก็คือว่า มันจะมีถนนสองเส้นใช่ป่ะ เส้นนึงเข้าในประเทศ อีกเส้นนึงเข้านอกประเทศ… เอ๊ะ… ออกสิ ออกนอกประเทศ”

“อ่า ใช่มั้ง”

“นั่นแหละ ก็ให้เลี้ยวเข้าอันที่จะไปเข้าในประเทศ แล้วก็ขับ ๆ ไปในดอนเมือง มันจะออกนอกประเทศ”

“ประมาณว่ามีชายแดนอยู่ตรงนั้น”

“ช่ายเลย”

“โอเค ๆ เดี๋ยวเราลองดู”

“ครับ ๆ หวัดดีพี่”1

ไปถึงดอนเมืองก็สามทุ่มกว่า คนที่มาส่งก็มีหยี่แปะ หยี่อึ้ม โซ้ยโกว เจ้เพี้ย เจ้ซิม เลี้ยง (ขอบคุณครับ) ละก็ป๊า ม้า เอิร์ต ปรากฏว่าคนที่จะไปส่งถึงก่อนหมดเลยแฮะ ฮ่า ๆ check-in ก็มีปัญหาเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไร ช้าไปนิดหน่อยแค่นั้นเอง จากนั้นก็ไปเดิน ๆ ร่ำลา แล้วก็เข้าไปตอนเกือบ ๆ ห้าทุ่ม

คนที่เดินทางไปด้วยก็มีเรา พี่แอนนี่ มด เป๋า ท๊อป แม็ค และพ่อแม่พี่แอนนี่ เครื่องที่บินจากไทยไปญี่ปุ่นเป็นเครื่อง 747 เก่านิดนึง เลยไม่ได้ดูหนังเลย เพราะต้องดูตามที่เค้าฉาย คุมเองไม่ได้ พอไปถึงญี่ปุ่น เนื่องจากมีเวลานั่งแกร่วอยู่นู่นตั้งเก้าชั่วโมง พวกเราก็เลยโทรหาเอม ซึ่งเรียนอยู่นู่น ก็ทำ Shore Pass เหมือนบัตรให้เข้าประเทศได้ 72 ชั่วโมง กว่าจะทำได้ก็ผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ เพราะว่าใบหมดของ I-20 กับในวีซ่าไม่ตรงกัน พยายามอธิบายให้เค้าฟังตั้งนานเค้าก็ไม่ยอมฟัง จะรอหัวหน้าโทรมาท่าเดียว (ท่านั่ง) พวกเราก็เลยเล่นเปตองใช้หมากเก็บของเป๋ากัน แหะ ๆ เป็นการฆ่าเวลาได้ดีมาก ออกไปก็เจอเอม กินข้าวกัน แล้วก็ต้องไปแล้ว เพราะเครื่องจะออก

เครื่องบินที่บินมาอเมริกาก็ดีหน่อย เป็นเครื่อง 777 ก็ได้ดู Forest Gump หนังเก่าแต่ดีมาก (“My mama told me that life is like a box of chocolate. You never know what’s gonna be inside.”) เล่นเกมส์เล็กน้อย นอกนั้นก็นอนซะเป็นส่วนใหญ่

มาถึงอเมริกาก็ประมาณสิบโมงกว่าเกือบสิบเอ็ดโมง ก็มีเด็กแสตนฟอร์ดไปนั่งรออยู่สามสี่คน เค้าก็เช็ค ๆ ชื่อ ทักทายกันเล็กน้อย (สวัสดี… นี่คือทัก จากนั้นก็ เป็นไงมั่ง… นี่คือทาย) แล้วเค้าก็มาส่งพวกเราที่รถ Super Shuttle มาลงที่หน้าดอร์มเลย

เล่าคร่าว ๆ แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน นี่ก็ตีสองกว่าแล้ว แหะ ๆ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก ไว้มาเล่าอีกนะครับ

อาร์ต
๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ เวลา ๐๒:๑๗ น.

Footnotes

  1. ข้อความบางส่วนเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเพื่อความบันเทิง